บันทึกหน้าที่ 1 : ก้าวผ่านประตูพื้นที่ปลอดภัย





บันทึกหน้าที่ 1 : ก้าวผ่านประตูพื้นที่ปลอดภัย





พื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) คือที่ที่เราอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งนั้น แต่เซฟโซนนั้นไม่ใช่เพียงสถานที่ แต่คือผู้คนที่ทำให้เรารู้สึกอยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ และความแปลกของ Safe Zone ยังมีมากกว่านั้นคือบางครั้งภายในนั้นกลับมี "ตัวเรา" เพียงคนเดียวอาศัยอยู่



เช่นเดียวกับตัวฉันที่ภายในโดมแห่ง Safe Zone นั้นมีแค่ตัวฉันเพียงลำพัง



ตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา ฉันมักเข้าใจผิดคิดว่าพื้นที่ปลอดภัยนั้นมีครอบครัวและเพื่อน ๆ อยู่ด้วยเสมอ ...แต่เปล่าเลย ความจริงแล้วฉันขีดเส้นคั่น เก็บพวกเขาเอาไว้ตรงพื้นที่ "ใกล้" เซฟโซนเท่านั้น เพราะโดมของฉันเป็นกระจกใส ดังนั้นจึงเข้าใจว่าพวกเขาทุกคนอยู่ด้วยเสมอ



ความจริงมาเปิดเผยก็เมื่อตอนที่ยอมรับกับตัวเองว่า ยังมีอีกหลายสิ่งมากมายที่ฉันนั้นซ่อนเอาไว้จากทุกคน หรือแม้กระทั่งตัวฉันเอง 

ฉันเว้นระยะห่าง ฉันเก็บอารมณ์ความรู้สึกและไม่พูดสิ่งที่คิดออกไปมากขึ้น ...มากขึ้น





จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดนั้นไม่ได้หวือหวาหรือน่าตกใจนัก

หากแต่มันช่างเรียบง่ายเหมือนที่เคยเป็นตลอดมา





เริ่มต้นจากฉัน... ผู้ซึ่งมั่นใจว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่เข้มแข็งมากคนหนึ่ง



ฉันสามารถจัดการทุกอย่างในชีวิตของตัวเองได้ดีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงาน หรือการจัดการกับอารมณ์ให้อยู่ในภาวะที่ผู้มีวุฒิภาวะควรจะเป็นนั่นคือใช้การเหตุผลมากกว่าอารมณ์



ทำได้ดี ...จนกระทั่งดีเกินไป

การทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี และฉันเสพติดมันขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อมีแรงกระตุ้นรอบข้างด้วยคำชื่นชม และความคาดหวังที่ใครต่อใครส่งมาให้เพราะ “เชื่อใจว่าจะทำได้”



การคาดหวังนั้นเป็นเหมือนยาพิษเคลือบน้ำผึ้ง ที่ดูผิวเผินแล้วช่างเป็นสิ่งเยินยอที่หอมหวาน แต่ลึกลงไปแล้วคือการที่คนหนึ่งคนต้องแบกความคาดหวังเหล่านั้นไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้



และเมื่อมันมากขึ้น มากขึ้น เมื่อน้ำผึ้งที่เคลือบผิวภายนอกนั้นเบาบางลง กว่าจะรู้ถึงพิษสงที่ค่อย ๆ ซึมลึกเข้าสู่ร่างกายจึงยากเกินจะรับไหว



และฉันเป็นมนุษย์ผู้ถูกหลอกล่อด้วยยาพิษเคลือบน้ำผึ้งนั้น






December 4 , 2020





วันแรกของการกินยาเพื่อรักษา บรรเทา (หรือไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม) ให้สิ่งที่มันส่งผลกับจิตใจและร่างกายมาตลอดเบาบางลง เพราะการนอนวันละ 3 ชั่วโมง (หรือบางทีก็น้อยกว่านั้น) มันไม่สนุกเลยสักนิดเดียว



อาการนอนไม่หลับเริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นปี ฉันสามารถนอนหลับได้เพียง 2-3 ชั่วโมงก็ตื่นขึ้น เป็นแบบนี้มายาวนานถึง 10 เดือน กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถที่จะรับมือกับอาการนอนไม่หลับนี้ได้อีกแล้ว เพราะมันค่อนข้างกระทบกับการใช้ชีวิตพอสมควร



จากคนที่เคยกระฉับกระเฉง คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเด็ดขาด กลับไม่มีสมาธิ เหน็ดเหนื่อยแม้เพียงการขยับตัวเพียงเล็กน้อย บวกกับการเดินทางจากบ้านไปทำงานที่กินระยะเวลาเดินทางถึง 2 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายเพลียมาก ๆ



ฉันจึงตัดสินใจจะแก้ไขมัน





แต่การตัดสินใจไปหาหมอครั้งนี้ไม่ง่ายเลย ไม่ใช่เรื่องกลัวคนรอบข้างไม่เข้าใจ หรือใครจะมองว่ายังไงหรอก สิ่งนั้นไม่เคยมีความหมายกับใจอยู่แล้ว



แต่ที่ทำให้ลังเลคือผลกระทบจากการใช้ยาที่เคยประสบมา




ก่อนหน้านี้ประมาณ 3-4 ปีก่อน เคยรักษาอาการใกล้เคียงแบบนี้แล้ว แต่ในตอนนั้นเพียงแค่หาหมอโรงพยาบาลทั่วไป ด้วยอาการนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นกลางดึกทุกคืนติดต่อกันเป็นเดือน ๆ (ลักษณะอาการเหมือนที่คนชอบเรียกกันว่าผีอำ) กินอาหารไม่ได้ ถ้าพยายามยัดเข้าไปมาก ๆ ก็จะอาเจียนออกมาหมด ...ซึ่งก็ได้ยานอนหลับ และยาต้านภาวะซึมเศร้ากลับมา 1 ชุด


ผลกระทบในตอนนั้นค่อนข้างไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กระทบการใช้ชีวิตพอสมควร จากคนที่จำอะไรได้ดี กลับหลง ๆ ลืม ๆ จำอะไรไม่ได้สักอย่าง เลื่อนลอยถึงขนาดที่แค่นั่งข้างหน้าต่างมองดูท้องฟ้ายังร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ในหัวไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่อยากคุยกับใคร อยากนอนตลอดเวลา หรือไม่ก็ตลอดไป...ที่หมายถึงตลอดไปจริง ๆ


ตอนนั้นทำงานพิเศษ Part-Time หัวหน้างานในตอนนั้นก็มีเรียกไปคุยว่าถ้ามันไม่ไหว ลองออกไปพักรักษาตัวให้หายดีก่อนดีไหม หรือพูดกันตรง ๆ ก็คือขอให้ลาออกนั่นแหละ ซึ่งเราก็เข้าใจเขานะ แต่มันก็เกิดความรู้สึกผิดหวังกับตัวเองว่าทำไมถึงกลายเป็นคนที่ไม่มีประสิทธิภาพไปได้


สุดท้ายตอนนั้นก็ไม่ได้ลาออกหรอก ฉันบอกเขาว่าฉันไม่เป็นไร มันจะหายดี ซึ่งฉันรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตัวตนของฉันจริง ๆ มันคือผลข้างเคียงจากยาที่ทำให้ฉันกลายเป็นใครไปก็ไม่รู้


ดังนั้นเมื่อยาหมด และหมอตรวจโรคทั่วไปก็ไม่ได้นัดอะไรเพิ่ม การรักษาก็เลยหยุดแค่นั้น ไม่ได้กินยาต่อ และทุกอย่างก็เหมือนจะกลับมาอยู่กับร่องกับรอยแบบที่ควรจะเป็น (ในสายตาคนที่มองมาจากภายนอกน่ะนะ)


หลังจากตอนนั้นก็รับปากกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปใช้ยาซึมเศร้าอีก ดังนั้นจึงพยายามอย่างมากที่จะรั้งไม่ให้ตัวเองดิ่งลงไปยังจุดเดิม พยายามหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา ทำงานให้หนัก เรียนรู้สิ่งใหม่เยอะ ๆ ทำอะไรก็ได้ให้ในหัวไม่มีที่ว่างสำหรับ 'สภาวะของความว่างเปล่า'


แต่ใครจะรู้ว่าทั้งหมดที่ทำ สุดท้ายแล้วมันไม่ได้แก้ที่ต้นตอของปัญหาเลย เป็นเพียงแค่การพยายามใช้ชีวิตเพื่อหลอกตัวเองว่า "เธอไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ชีวิตก็มีความสุขดีนี่นา"



ถึงแม้ในหัวจะพยายามกล่อมตัวเองแบบนั้น แต่ร่างกายกลับไม่เห็นด้วย และร่างกายไม่โกหก จึงได้แสดงออกในทางตรงข้าม


ถ้ามีความสุขดีแล้วทำไมการนอนหลับในแต่ละคืนถึงยากเย็นนัก


ถ้ามีความสุขกับการพยายามเป็นส่วนหนึ่งของสังคมรอบตัวจริง ๆ แล้วทำไมวันหยุดถึงเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องลำพัง ไม่อยากออกไปไหนถ้าไม่ใช่กับคนที่สบายใจที่จะอยู่ด้วยจริง ๆ


ทำไมบางคืนถึงร้องไห้ทั้งที่ก็ไม่มีปัญหาอะไรหนักหนา เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยล้าและว่างเปล่าเท่านั้น


และเพราะทุก ๆ สิ่งที่ร่างกายแสดงออกอย่างตรงไปตรงมานั่นแหละ ทำให้ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกต่อไป


อยากเป็นคนที่พูดว่า "ฉันไม่เป็นไร ชีวิตมีความสุขดี" แล้วรู้สึกแบบที่พูดออกไปจริง ๆ


ครั้งนี้จึงตัดสินใจที่จะไปรักษาโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวช

หลังจากเล่าอะไร ๆ ให้หมอฟัง พอออกมาแล้วก็โกรธตัวเองนิดหน่อยที่ก็ยังคงเคยชินกับการ 'ใส่หน้ากาก' ทำเหมือนว่าไม่เป็นไร และไม่ได้เล่าทุกอย่างออกไปหมดอยู่ดี เพราะไม่อยากปล่อยโฮในนั้น หรือก็คือไม่อยากที่จะยอมรับนั่นแหละว่าตัวเองไม่ไหว



สิ่งที่หมอตอบกลับมา ถึงจะพูดนิ่ม ๆ ด้วยน้ำเสียงเข้าใจแบบจิตแพทย์ แต่มันกระทบกับใจมหาศาลเหมือนกันนะ "ที่หมอฟังมา ดูเหมือนว่าเราน่ะรู้วิธีแก้ปัญหาทุกอย่าง แต่ไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจ"


มันจริงมากเลยล่ะ รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยทำได้เลยสักอย่าง


ซึ่งก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนมาพูดแนว ๆ นี้ เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า "แกน่ะ Pressure ตัวเองเกินไป" ส่วนเพื่อนอีกคนก็บอกว่า "แกน่ะ ต้องเปลี่ยนความคิดตัวเอง"

...แต่ถ้าทั้งสองอย่างมันง่ายขนาดนั้นจริง ๆ ก็คงดี


สุดท้ายวันนี้หมอยังไม่ได้วินิจฉัยอะไรออกมาชัดเจน ก็ต้องรอดูไปเรื่อย ๆ ก่อน คิดว่าคงจะได้ยาคลายเครียดกับยานอนหลับมากินเหมือนเดิมแหละ แต่ผิดคาด มีเพิ่มมาอีกหนึ่ง ฟังคำอธิบายการใช้จากเภสัชกร แล้วก็มาค้นหาหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อดูเรื่องผลข้างเคียง


  • Lorazepam = ช่วยคลายความวิตกกังวล จากสารเคมีในสมองที่ไม่เท่ากัน (คุ้นหูกับตัวนี้เพราะเคยใช้)
  • Escitalopram = รักษาโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล
  • Perphenazine = ยาระงับอาการทางจิต (อันนี้ยอมรับว่าเห็นสรรพคุณแล้วตกใจนิดนึง)



ขณะที่เขียนข้อความทั้งหมดนี้คือเราคนที่ยังมีสติสัมปชัญญะในแบบที่เป็นตัวเราดีทุกอย่าง ถ้าจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปหลังจากนี้ ก็ขอให้มันเปลี่ยนไปในทางที่ดี จะไม่หยุดกลางคัน ไม่หยุดพยายามจนกว่าจะถึงวันที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า "ฉันไม่เป็นไร" และรู้สึกแบบนั้นจริงๆ



ปล. จนถึงตอนนี้ที่เขียนเสร็จ เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว กินยาตั้งแต่ 21:18 ผ่านไปจะสองชั่วโมงแล้ว ยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด ..ก็คงน่าจะเพิ่งวันแรกเองมั้ง



ฝันดีนะทุกคน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น

Ad Code